Categories
Technical Analysis การลงทุน

ทฤษฎี Dow Theory ต้นกำเนิด กราฟเทคนิค ที่มือใหม่ ห้ามพลาด

ทฤษฎี Dow Theory ต้นกำเนิด กราฟเทคนิค ที่มือใหม่ ห้ามพลาด

ทฤษฎี Dow Theory ถือกำเนิดขึ้นโดย Charles Henry Dow ที่นับได้ว่าเป็น ศาสดา แห่งการวิเคราะห์ กราฟเทคนิค ต้องย้อนไปถึงปี 1896 เขาคิดค้นสิ่งที่เรียกว่า “ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์” ซึ่งเขายังเป็น บรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ The Wall Street ที่จะต้อเขียน บทวิเคราะห์ รวมถึงต้องติดตามราคา หุ้น ทองคำ ต่างๆ แต่ในยุคนั้นยังไม่มีกราฟให้เทรดในทุกวันนี้ เขาจึงติดตามราคา ด้วยการสร้างการบันทึก กระทั่งนำมาสร้างเป็น ดัชนี ที่เราใช้กันในทุกวันนี้ จึงต้องยอมรับให้เขาเป็น ศาสดาแห่ง กราฟ รวมถึงการวิเคราะห์ทางเทคนิค เพราะพื้นฐานการวิเคราะห์หลายๆอย่างนั้น ถูกสร้างขึ้นมาจาก พื้นฐานของ ทฤษฎี นี้นั่นเอง

ทฤษฎี Dow Theory ต้นกำเนิด กราฟเทคนิค ที่มือใหม่ ห้ามพลาด Charles henry dow Goo invest Trade

ทฤษฎี Dow Theory แบ่งออกเป็น 6 หลักการสำคัญ คือ

1. ตลาดมีการเคลื่อนไหวหลักๆ อยู่ 3 รูปแบบ (The market has three movements) คือ

  • แนวโนมโหญ่ (The main movement or Primary trend) = 1-3 ปี หรือมากกว่า
  • แนวโน้มกลาง(The medium swing or Intermediate trend) = 3 สัปดาห์ – 3 เดือน หรือมากกว่า
  • แนวโน่้มระยะสั้นๆ (The short swing or Minor trend) = รายวัน – เดือน หรือมากกว่า

2. ตลาดหุ้นมี Trend

แบ่งเป็น 3 ช่วงใหญ่ๆ (Market trends have three phases) คือ ช่วงสะสมหุ้น (The accumulation phase) ช่วงมหาชนมีส่วนร่วม (The public participation phase) ช่วงแจกจ่ายหรือปล่อยของ (The distribution phase)

 

3. ราคาสะท้อนทุกอย่างในตลาดอยู่แล้ว (The prices reflect the market already)

 

4. ทุกอย่างต้องมีความสอดคล้องกัน (Market Indexes Must Confirm Each Other)

 

5. ถ้าตลาดจะมีเทรนด์ ต้องมีปริมาณยืนยัน (Volume Must Confirm The Trend)

 

6. ราคาจะขึ้นจนกว่ามันจะไม่ขึ้น และจะลงจนกว่ามันจะลง (Trends exist until definitive signals prove that they have ended)

แนวโน้มตลาดแบ่งเป็น 3 แนวโน้มหลัก

แนวโน้มขาขึ้น ตามหลักการของ ทฤษฎี Dow Theory

ทฤษฎี Dow Theory ต้นกำเนิด กราฟเทคนิค ที่มือใหม่ ห้ามพลาด แนวโน้มขาขึ้น Goo Invest trade

แนวโน้มขาขึ้น ตาม ทฤษฏี นั้นราคาจะต้องทำ จุดสูงสุดใหม่ Higher high  และ จุดต่ำสุดใหม่ Higher Low สูงขึ้นไปเรื่อยๆ และจุดต่ำสุดใหม่ Higher Low จะต้องไม่ลงมาทำจุดต่ำสุดใหม่ ต่ำกว่า จุดสูงสุดใหม่ก่อนหน้า Higher high จึงจะถือเป็นแนวโน้มที่แข็งแรง

แนวโน้มขาลง ตามหลักการของ ทฤษฎี Dow Theory

ทฤษฎี Dow Theory ต้นกำเนิด กราฟเทคนิค ที่มือใหม่ ห้ามพลาด แนวโน้มขาลง Goo Invest trade

แนวโน้มขาลง ตาม ทฤษฏี นั้นราคาจะต้องทำ จุดต่ำสุดใหม่ Lower Low  และ จุดสุดสุดใหม่ Lower High ต่ำลงไปเรื่อยๆ และจุดสูงสุดใหม่ Lower High จะต้องไม่ขึ้นมาทำจุดสูงสุดใหม่ สูงกว่า จุดต่ำสุดใหม่ก่อนหน้า Lower Low จึงจะถือเป็นแนวโน้มที่แข็งแรง

แนวโน้ม Sideway ตามหลักการของ ทฤษฎี Dow Theory

ทฤษฎี Dow Theory ต้นกำเนิด กราฟเทคนิค ที่มือใหม่ ห้ามพลาด sideway Goo Invest trade

ช่วง Sideway หรือช่วงที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจน high low ไม่ทำจุดสูงสุดใหม่ หรือจุดต่ำสุดใหม่ ราคามักจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบราคา โดย จุดสูงสุด High หรือ จุดต่ำสุด Low ทำอยู่ในระดับราคาเดิม

ทฤษฎี Dow Theory ต้นกำเนิด กราฟเทคนิค ที่มือใหม่ ห้ามพลาด sideway up Goo Invest trade

แนวโน้ม Sideway Up ตาม ทฤษฏี นั้นราคาจะต้องทำ จุดสูงสุดใหม่ Higher high  และ จุดต่ำสุดใหม่ Higher Low สูงขึ้นไปเรื่อยๆ และจุดต่ำสุดใหม่ Higher Low จะต้องลงมาทำจุดต่ำสุดใหม่ ต่ำกว่า จุดสูงสุดใหม่ก่อนหน้า Higher high จึงจะถือเป็นแนวโน้ม Sideway Up

ทฤษฎี Dow Theory ต้นกำเนิด กราฟเทคนิค ที่มือใหม่ ห้ามพลาด sideway down Goo Invest trade

แนวโน้ม Sideway Down ตาม ทฤษฏี นั้นราคาจะต้องทำ จุดต่ำสุดใหม่ Lower Low  และ จุดสุดสุดใหม่ Lower High ต่ำลงไปเรื่อยๆ และจุดสูงสุดใหม่ Lower High จะต้องขึ้นมาทำจุดสูงสุดใหม่ สูงกว่า จุดต่ำสุดใหม่ก่อนหน้า Lower Low จึงจะถือเป็นแนวโน้ม Sideway Down

ทฤษฎี Dow Theory วัฏจักรตลาด Market Cycle

ทฤษฎี Dow Theory ต้นกำเนิด กราฟเทคนิค ที่มือใหม่ ห้ามพลาด Market Cycle วัฏจักรตลาด Goo Invest trade

เรื่อง วัฏจักรตลาด Market Cycle ตามหลักการของ ทฤษฎี Dow Theory ได้บอกไว้ว่า ตลาดจะมีรอบหรือ cycle ของตลาดทุกๆ 10 – 12 ปี ซึ่งรอบหนึ่งจะมีช่วงที่ ราคาขึ้นไปถึงสูงสุด และ ลงมาที่จุดต่ำสุดจะนับเป็น 1 รอบซึ่งหากใครได้ศึกษาประวัติของกราฟ ก็จะพบว่ามีหลักฐานอ้างอิงถึงหลักการดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น ราคาของ Dow Jones หรือ SET INDEX เองก็ตามโดยมีประวัติราคาเป็นตัวอ้างอิง ซึ่งรอบตลาดนี้ เกิดขึ้นกับทุกๆตลาด หากเกิดขึ้นกับตลาดที่มีพื้นฐานเช่น หุ้น หรือ ดัชนี Index เราจะพบว่า ราคาจุดสูงสุด และราคาจุดต่ำสุด มักจะมีการปรับตัวยกสูงขึ้นเนื่องจาก มูลค่าพื้นฐานของหุ้นนั้นเติบโตขึ้นด้วยเช่นกัน

 

และตาม ทฤษฏี ยังได้พูดถึง คลื่นย่อยหรือ Wave ย่อย ซึ่งมันจะมี รอบ วัฏจักร ย่อยของมันเช่นกัน โดย คลื่นหนึ่งคลื่น หรือ หนึ่ง Wave จะมี ระยะเวลา หรือ รอบ ที่ 9-12 เดือน ในแต่ละคลื่น

โดยคลื่นแต่ละคลื่นจะสามารถย่อยลงได้อีกโดยจะแบ่งย่อยลงไปถึง คลื่นเล็กที่อยู่ในระยะ 3 เดือน

ซึ่งหากเข้าใจหลักการนี้ จะสามารถช่วยให้คุณนำไปวางแผนช่วยเทรด ได้เป็นอย่างดีซึ่งหากคุณรู้ว่าคุณอยู่ในช่วงไหนของตลาด จะช่วยให้คุณปรับกลยุทธ์ หรือวางแผนกลยุทธ์ได้ดียิ่งขึ้น

ทฤษฎี Dow Theory ต้นกำเนิด กราฟเทคนิค ที่มือใหม่ ห้ามพลาด Market Cycle วัฏจักรตลาด Dow jones Goo Invest trade

ตัวอย่าง วัฏจักรตลาด Market Cycle จาก Dow Jones

ทฤษฎี Dow Theory ต้นกำเนิด กราฟเทคนิค ที่มือใหม่ ห้ามพลาด Market Cycle วัฏจักรตลาด set index Goo Invest trade

ตัวอย่าง วัฏจักรตลาด Market Cycle จาก SET Index

ทฤษฎี Dow Theory ต้นกำเนิด กราฟเทคนิค ที่มือใหม่ ห้ามพลาด ปัจจัยพื้นฐานตามช่วงตลาด Goo Invest trade

ในแต่ละช่วงเวลา จะมีปัจจัยที่เป็นพื้นฐาน ในการขับเคลื่อนราคา ของแต่ละช่วงอยู่ ตามทฤษฏี

ช่วงเริ่มต้นแนวโน้มขาขึ้น เริ่มจากช่วงที่ราคาอยู่ใกล้จุดต่ำสุดหรือช่วงเริ่มต้นแนวโน้ม ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ไม่ได้รับความสนใจ จากคนทั่วไป แต่หากมองลงไปในพื้นฐาน ของหุ้นนั้นๆ จะพบว่า ผลการดำเนินการของหุ้น จะเริ่มทรงตัว หรือปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย จากที่ตลาดผ่านช่วงการเทขาย หรือช่วงขาดทุนมาต่อเนื่อง และมีการเทขาย มาจากมวลชน แต่นักลงทุน กลับเริ่มเข้ามาในตลาด และซื้อสะสมใน ช่วงเริ่มต้นแนวโน้ม

ช่วงมวลชน หรือ ระยะกลางของแนวโน้มขาขึ้น ในช่วงนี้ มวลชน สื่อ หรือ คนทั่วไปจะเริ่มเข้ามาจับตามอง และทยอยเข้ากันเป็นจำนวนมาก มักจะเป็นช่วงที่ ราคาจะวิ่งแรงและไกลที่สุด เพราะ สื่อทุกสื่อ จะจับตามองและมีการพูดถึงกันในวงกว้าง รวมถึง ผลประกอบการพื้นฐานก็จะดีขึ้น ตามลำดับซึ่งเป็นไปตามกลไกล ของระบบเศรษฐกิจ คนที่เข้ามาซื้อในช่วงนี้ มักจะเป็น นักเกร็งกำไร หรือ คนที่เทรดในระยะกลาง รวมถึง Trend Following

ช่วงท้ายตลาดของขาขึ้น หรือเรียกว่าเป็นช่วงเริ่มต้นของขาลง จะเป็นช่วงที่ตลาดกำลังคึกคักกันอย่างมาก และเป็นช่วงที่ได้รับความนิยมจากคนทั่วไปเป็นอย่างสูง แต่พื้นฐาน หุ้นกลับ ไม่เติบโตหรือ ผลประกอบการ แย่ลง และจะเป็นช่วงที่นักลงทุนระยะยาวเริ่มจะปล่อยของ แต่มักจะเป็นช่วงที่ แมงเม่า เข้ามา หรือจะบอกว่าเป็น ยอดดอยก็ไม่ผิด

ช่วงระยะกลางของแนวโน้มขาลง เช่นเดียว กับระยะกลางของแนวโน้มขาขึ้น แต่เป็นไปในทิศทางที่กลับกัน กับแนวโน้มขาขึ้นจะเป็นข่าวดีเข้ามารองรับการขึ้นเป็นจำนวนมาก สื่อต่างๆจะพูดถึงแต่เรื่องดีๆของหุ้นตัวนี้ แต่ในทางขาลงจะเป็นข่าวที่เป็นข่าวเชิงลบทั้งสิ้น ส่งผลทำให้ มวลชนแห่ขายกันจำนวนมาก

ช่วงท้ายตลาดของขาลง จะเป็นช่วงที่ แทบจะไม่ได้รับรับความสนใจเลย และมี แมงเม่า ติดดอยกันเป็นจำนวนมาก และส่วนมากก็จำต้อง ตัดขาดทุนกันไป แต่กลับกันในช่วงนี้พื้นฐานของหุ้นเริ่มชลอการขาดทุน ตัวเลขกลับเริ่มพื้นตัว และนักลงทุนระยะยาว หรือ Value Investor VI เริ่มจับตามอง หรือ เริ่มสะสม ในช่วงนี้

Facebook
Twitter

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ

Categories
ความรู้ทั่วไป ธุรกิจ

ทรัพย์สินที่คนรวยซื้อ แต่คนจนไม่ซื้อ มีอะไรบ้างมาดูกัน

ทรัพย์สินที่คนรวยซื้อ แต่คนจนไม่ซื้อ

ทรัพย์สินที่คนรวยซื้อ แต่คนจนไม่ซื้อ โดยส่วนมาก เราหลายๆคน คิดว่าคนรวยซื้อบ้านหรู ซื้อซุปเปอร์คาร์ ซื้อกระเป๋าหรูๆ ซื้อรองเท้าแพงๆ แต่นั่นคือสิ่งที่เขาซื้อเมื่อเขารวยแล้ว แต่คนจนมักทำตามคนรวยโดยเลียนแบบซื้อของ ที่เมื่อซื้อแล้วทำให้ตัวเองดูรวย ดูหรู แต่จริงๆแล้วยิ่งซื้อกลับยิ่งจน และยิ่งเป็นหนี้มากขึ้น เพราะฉะนั้นเรามาดูกันว่าจริงๆ แล้วคนรวยเขาซื้ออะไรกันบ้าง แล้วคนรวยจะซื้อทรัพย์สินจำพวกอสังหาริมทรัพย์   บางคนซื้อหุ้น บางคนซื้อธุรกิจ เพราะสิ่งเหล่านั้นทำเงินให้เขาตลอดเวลาทั้งตอนหลับ และตอนตื่น ทำได้อย่างไรนั้นไปดูกัน 

ทรัพย์สินที่คนรวยซื้อ แต่คนจนไม่ซื้อ Gooinvest

ทรัพย์สินที่คนรวยซื้อ แต่คนจนไม่ซื้อ ดูไม่ยาก สมมุติว่าคุณมีได้รายได้วันละ 300 บาทก็ต้องใช้เวลาประมาณ 100 ปีครับถึงจะมีเงิน 10 ล้าน ถ้าคุณบอกว่าคุณอยากจะมีเงิน 10 ล้านภายใน 10 ปีทำอย่างไรในเมื่อคุณไม่สามารถที่จะเพิ่มเวลาของคุณจาก 24 ชั่วโมงเป็น 240 ชั่วโมงได้คุณก็ต้องหาเครื่องทุ่นเวลา คนรวยเวลาซื้อของเขาจะไม่ใช้เงินสด เขาจะคิดก่อนเวลามีเงินแล้วเอาเงินนี้ไปลงทุนกับทรัพย์สิน พอดอกผลของทรัพย์สินที่ลงทุนไปแล้วไปซื้อรถ เอาผลตอบแทนจากการลงทุนไปซื้อกระเป๋า 

คุณเคยเห็นสามล้อถูกหวยมั้ยครับ ตอนถูกหวยมีเงินเยอะแยะเลย แต่สุดท้ายใช้ไปกับการซื้อทรัพย์สิน ใช้ซื้อของฟุ่มเฟือยในชีวิตประจำวัน โดยไม่แบ่งเงินไปลงทุน สุดท้ายเงินก็หมดแล้วกลับมาจนเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณต้องทำถ้าคุณยังไม่มีทรัพย์สิน หรือมีเงินน้อยคุณต้องเรียนรู้ทักษะในการหาเงิน และ การใช้เงินครับ

7 ทรัพย์สินที่คนรวยซื้อ แต่คนจนไม่ซื้อ

1 . ธุรกิจ

คนรวยที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจของตัวเองระดับหนึ่ง จะมองหาธุรกิจที่ทำแล้วได้รับผลประโยชน์ หรือผลกำไรโดยไม่ต้องลงทุนหรือลงแรงทำงาน หรือ อาจจะมีการลงทุนบ้างแต่เป็นการลงทุนด้วยเงินจำนวนมากเพียงครั้งแรก หลังจากนั้นก็รอรับผลประโยชน์ เก็บดอกผล ที่เรียกกันว่า “ธุรกิจเสือนอนกิน”  เช่น ธุรกิจตู้ซักผ้าหยอดเหรียญ  , ธุรกิจเช่ารถ  รวมไปถึงธุรกิจเฟรนไซต์ ต่างๆ  จริงๆ แล้วธุรกิจเสือนอนกินมีมากมายหลากหลายรูปแบบ ตามแต่ว่าใครมีความสนใจในเรื่องใด ซึ่ง การที่คุณจะลงทุนทำธุรกิจอะไรสักอย่าง ควรเป็นธุรกิจที่คุณมีความสนใจจริงๆ ยิ่งถ้าคุณมีความรู้และประสบการณ์แล้วล่ะก็ โอกาสความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม สิ่งที่สำคัญที่สุด นอกจากเงินทุนก็คือ การลงมือทำอย่างจริงจัง เพราะแม้ว่าคุณจะมีเงินมากสักเท่าใด้ หากไม่ลงมือทำ ทุกอย่างก็เท่ากับศูนย์ทั้งสิ้น เรามาดู 5 คำถามสำคัญก่อนการลงทุนทำธุรกิจ

2 . รถยนต์

ทุกวันนี้ นักสะสมเก็งกำไรจากรถหายากเริ่มมีจำนวนมากขึ้น และการลงทุนในรถหายากเองก็ได้รับการยอมรับว่าทำกำไรได้ดีไม่แพ้การลงทุนประเภทอื่น  แม้จะต้องใช้เงินต้นทุนที่สูงมากหน่อยและ ต้องใช้ความรู้ด้านประวัติของรถยนต์แต่ละรุ่นอีกสักนิดนึง   แต่รถยนต์ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คนรวยซื้อ  แต่ละคนมีมุมมองการซื้อรถแตกต่างกัน คนรวยมองเรื่องการลงทุน คนจนมองเรื่องการใช้งาน บางคนซื้อตามคนอื่น ขาดการวางแผน ทำให้ตัวเองเดือดร้อนมีหนี้สินพะรุงพะรังในระยะยาว  แทนที่จะได้กำไร กับได้หนี้สินแทน

3. อสังหาริมทรัพย์

การลงทุนอสังหาริมทรัพย์  ไม่ว่าจะเป็น ที่ดิน คอนโด บ้าน ทาวน์โฮม อาคารพาณิชย์ อาคารสำนักงาน และอื่นๆ อีกมากมาย นับวันยิ่งมีนักลงทุนทั้งมือเก่าและมือใหม่ เข้ามาให้ความสนใจกันมากขึ้น นั่นเป็นเพราะการลงทุนอสังหาริมทรัพย์สามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ในขณะที่ใช้เงินลงทุนเพียงน้อยนิด ถ้าคุณเรียนรู้วิธีและเทคนิคในการลงทุน   ก็จะสามารถทำกำไรให้คุณได้ไม่น้อย

4. ทรัพย์สินที่ลงทุนได้

หมายถึง พันธบัตร กองทุน และหุ้น เพราะทรัพย์สินประเภทนี้ มักจะมีเงินปันผลตอบแทน ในระยะเวลาที่แน่นอน และในขณะที่คนรวยอีกหลายคนก็เลือกที่จะซื้อหุ้น เพราะเล็งเห็นการเติบโตในอนาคตในระยะยาว และสามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาล เมื่อขายมันออกไป ซึ่งการเทรดหุ้น ต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับตลาด และ การเทรด แต่ปัจจุบัน นักลงทุนเริ่มใช้ เทคนิคการ Copy Trade เพื่อประหยัดเวลา ไม่ต้องมานั่งเทรดเอง โดยมีแผนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เช่น แผนการออม 3000 เพื่อพิชิตเงิน 1 ล้านบาท โดยข้อดีของทรัพย์สินประเภทนี้ก็คือ มันสามารถทำกำไรได้ง่าย และเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่ายกว่าทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์

5. ทรัพย์สินทางปัญญา

หมายถึง สิทธิบัตร, เครื่องหมายการค้า, แบรนด์และลิขสิทธิ์ ข้อดีของทรัพย์ทางปัญญาก็คือ ความสามารถในการขยายธุรกิจได้ โดยไม่มีขีดจำกัด เพราะเมื่อคุณเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาแล้วมีคนมาเช่าแล้ว คุณก็ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม มีแต่รายรับเข้ามาแบบทวีคูณ เช่น ตัวการ์ตูนโดเรมอน ที่มีอยู่หลายคาแรคเตอร์มาก ๆ ซึ่งแต่ละคาแรคเตอร์เมื่อถูกสร้างขึ้นมาแล้ว ก็สามารถทำเงินได้แบบไม่รู้จบ

6. โลหะที่มีมูลค่า

ทองคำเป็นสิ่งที่คนนิยมซื้อเพื่อสะสม ลงทุน และเก็งกำไร การที่หลาย ๆ คนเลือกลงทุน ซื้อทองคำ มีเหตุผลหลายอย่างด้วยกัน เช่น การเปลี่ยนเงินออมให้เป็นทรัพย์สินเพื่อสร้างรายได้ให้กับตัวเอง การลงทุนในทองคำนั้นยังเป็นหนึ่งในวิธีการสร้างผลตอบแทนที่ดี และอาจทำกำไรระยะสั้นได้สูงอีกด้วยนะครับ แต่ปัจจุบันราคาทองคำมีความผันผวนมาก นักลงทุนต้องศึกษา ทั้งเรื่องราคาและการเก็บรักษาด้วยนะครับ

7. ลงทุนกับโซเชียลมีเดีย

ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเล็กหรือใหญ่  ต่างหันมาใช้โซเชียลมีเดีย (Social Media) หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) ในการทำการตลาดเกือบทั้งหมด เพราะตระหนักดีว่าเป็นช่องทางหนึ่ง ในการโฆษณาสินค้าและขายสินค้าได้เป็นอย่างดี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ถ้ามีก็ไม่มากหากเทียบกับการทำตลาดในรูปแบบอื่น ๆ ที่สำคัญมีประสิทธิภาพเยี่ยม การลงทุนรูปแบบนี้จึงเห็นผลในระยะเวลาอันรวดเร็ว เรียกว่ายุคนี้ผู้ประกอบการรายใด ไม่ใช้โซเชียลมีเดียเท่ากับว่าตกเทรนด์ไปแล้ว

Facebook
Twitter

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ

Categories
Technical Analysis การลงทุน

Pivot Point คืออะไร ใช้งานอย่างไร

Pivot Point คืออะไร ใช้งานอย่างไร

Pivot Points คือราคากลางที่ นักลงทุน นักเกร็งกำไร และ นักเทรด ให้การยอมรับและนำมาใช้เป็น ค่าราคากลางเพื่อวางแผนการเทรดในวันถัดไปโดย จะนำค่าราคาดังกล่าวมาสร้างเป็น แนวรับ แนวต้าน ของแต่ละวัน โดยการคำนวนนั้นจะใช้ ราคาสูงสุดของวันก่อนหน้า ราคาต่ำสุดของวันก่อนหน้า และ ราคาปิดของวันก่อนหน้า มาคำนวนโดยจะมี สูตรดังนี้

Download โปรแกรมเทรดฟรี

ขอรับ ลิ้ง Download Pivot Indicator

สูตรคำนวน Pivot Point

Pivot Point = [High + Low + Close] / 3

แนวต้าน1 ( R1 )= (2 x Pivot ) – Low
แนวต้าน2 ( R2 ) = (Pivot – แนวรับ 1) + แนวต้าน 1
แนวต้าน3 ( R3 ) = (Pivot – แนวรับ 2) + แนวต้าน 2

แนวรับ1 ( S1 ) = (2 x Pivot ) – High
แนวรับ2 ( S2 ) = Pivot  – (แนวต้าน 1 – แนวรับ 1)
แนวรับ3 ( S3 ) = Pivot  – (แนวต้าน 2 – แนวรับ 2)

Pivot point Goo Invest Trade

นับว่าเป็น อินดิเคเตอร์ ที่น่าสนใจมากโดยเฉพาะ เทรดเดอร์ ที่เทรดแบบ Price Action เพราะเป็นเครื่องมือที่คำนวนหา แนวรับ แนวต้าน ให้ได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ เป็นเพียงการคาดการณ์ เท่านั้น การจะใช้งานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ควรใช้เครื่องมือหรือการวิเคราะห์อื่นๆ เพื่อเป็นการยืนยันสัญญาณการกลับตัว หรือ หาแนวโน้มหลัก เพื่อประกอบ การวิเคราะห์ด้วย

เครื่อเมือที่เหมาะกับ การใช้งานประกอบ การยืนยัน การกลับตัว เช่น

Stochastic เป็น Indicator ที่ค่อนข้างไวกับการเปลี่ยนแปลงของราคาการเข้าที่เหมาะสมควรเข้าประกอบกับการ Overbought หรือ Oversold

Relative Strength Index RSI เหมาะกับการหา จุดกับตัวของคลื่น ซึ่งจะให้สัญญาณ ที่ช้ากว่า Stochastic แต่สัญญาณการกลับตัว ของ RSI นั้นค่อนข้างจะให้ความแม่นยำกว่า Stochastic จะบอกถึงการพักตัวในระยะสั้นๆเท่านั้น

เครื่อเมือที่เหมาะกับ การใช้งานประกอบ การยืนยัน แนวโน้ม เช่น

Moving Average เป็น Indicator ประเภทบอกแนวโน้มที่ นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ในกลุ่ม เทรดเดอร์ ซึ่งสิ่งสำคัญในการเริ่มต้น การวิเคราะห์ นั้นคงดีไม่พ้นเรื่องการหาแนวโน้ม เพื่อวางแผนการเทรด 

Trend line เป็นเครื่องมือประเภท Price Action ที่ไม่มีใครไม่รู้จักแนว ซึ่งสามารถ นำมาประกอบการวิเคราะห์ ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

MACD Indicator ที่เป็นประเภท Index หรือ ดัชนี ที่วัดการแกว่งของตลาด ได้อีกด้วย แต่ Indicator ตัวนี้จะนิยมใช้สำหรับหา แนวโน้มตลาด โดยมีค่ากลางที่ 0 

นี่เป็นเพียงตัวอย่างเครื่องมือ การวิเคราะห์ ที่สามารถนำมาใช้ประกอบกับ Pivot Point ได้ท่านยังสามารถ ลงทะเบียน เข้าเรียนเครื่องมือเหล่านี้ได้ฟรีกับเราได้ แต่ยังมีเครื่องมือวิเคราะห์อีกมาก ที่มีให้เลือกใช้ การวิเคราะห์มีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องศึกษา เพื่อที่จะอยู่รอดในตลาด รวมถึง การบริการจัดการเงิน ที่เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก แม้คุณจะมีกลยุทธ์การเทรด ที่ดีเพียงใด แต่การจัดการเงินไม่ดีสุดท้ายก็สร้างความเสียหายให้ การลงทุนของท่านอยู่ดี 

Facebook
Twitter

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ

Categories
การลงทุน ธุรกิจ

PTT OR หุ้น แรงรับปี 2564

PTT OR หุ้น แรงรับปี 2564

PTT OR หุ้น แรงรับปี 2564 หรือ บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก OR สำนักงานใหญ่อยู่ที่  555/2 ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ อาคาร บี ชั้นที่ 12 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กทม ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ PTT โดยมี นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ เป็น ประธานกรรมการ และ นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ 

 

เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ที่ราคา 16-18 บาท/หุ้น โดยเปิดจองวันแรกเมื่อวันที่ 24 มกราคาม 2564 และดำเนินการประกาศราคาเสนอขายวันสุดท้ายในเวลา 09.00 น.ของวันที่ 2 ก.พ.64 ผ่านเว็บไซต์ของ OR www.pttor.com

โดยการเปิดจองวันแรกก็ทำเอาระบบแบงค์ทั้ง 3 ที่เปิดให้บริการจองถึงกับล่มกันเลยทีเดียวนับว่าเป็นหุ้นที่ใครหลายต่อหลายคนหมายตากันอย่างมาก นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมากเนื่องจากในช่วงที่มีการเสนอขายหุ้น IPO อยู่ในช่วงวิกฤต โควิด 19 ที่เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำอย่างสุดขีด แต่ ผู้เข้าซื้อหุ้น ปตท OR ยังเข้าซื้อกันอย่างมหาศาล

PTT OR หุ้นแรง ปี 2564 Goo Invest

ผู้ถือหุ้นของ ปตท. เฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับจัดสรรหุ้น จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ PTT OR ในส่วนที่จัดสรรไว้ให้แก่ผู้ถือหุ้นของ ปตท. (Pre-emptive Rights) เมื่อวันที่ 25-28 ม.ค.64 ในการขาย IPO ของ OR มีการจัดสรรหุ้นแบบ small lot first คือผู้จองซื้อจำนวนน้อยได้รับการจัดสรรหุ้นก่อน กำหนดให้จองซื้อขั้นต่ำ 300 หุ้น ราคาหุ้นล่ะ 18 บาท เป็นเงิน 5400 บาท ถ้ามีหุ้นเหลือจึงจัดสรรเพิ่มให้แต่ละรายเท่ากันจนกว่าหุ้นจะหมด 

โดยครั้งนี้ เสนอขายหุ้น ipo ไม่เกิน 3000ล้านหุ้น ราคาหุ้นล่ะ 18 บาท และหุ้นจะออกเสนอขายให้ประชาชนครั้งแรก 2610 ล้านหุ้น สำรองไว้ที่ 390 ล้านหุ้น เพราะในตอนนี้ การจัดสรรให้นักลงทุนรายย่อย เพียง 300 ล้านหุ้น และส่วนใหญ่ถูกจัดสรรให้กับนักลุงทุนรายใหญ่  ที่เป็นกองทุนส่วนบุคคล และสถาบันต่างๆรวมไปถึงกระทรวงการคลัง 

 

ธุรกิจ PTT OR ทำอะไรบ้าง

ธุรกิจน้ำมัน

PTT OR หุ้น แรงรับปี 2564 ธุรกิจ น้ำมันค้าปลีก ของ PTT OR Goo Invest
PTT OR หุ้น แรงรับปี 2564 ธุรกิจน้ำมันเชิงพาณิชย์ ของ PTT OR Goo Invest

แน่นอนว่า ธุรกิจแรกของ ปตท.ต้องเป็นการค้าที่เกี่ยวกับน้ำมัน และสิ่งที่เราเห็นได้ชัดเลย สถานีบริการน้ำมัน PTT Station ที่ครอบคลุมทั้วประเทศ มีจำนวนสถานีถึง 1,900 สาขา ซึ่งถือว่าเป็นปั้มที่มีจำนวนเยอะที่สุด ในประเทศเราแล้ว

และเป็นปั้มที่ทันสมัย พร้อมการปรับตัวหรือการพัฒนาสู่อนาคต ในเรื่องของ พลังงานไฟฟ้า ที่ตอนนี้คนหันมาให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งปตท.นั้น ก็ติดตั้ง อุปกรณ์ สายชาร์ต ที่ทันสมัย และชาร์ตได้รวดเร็วตามความต้องการในอนาคต ซึ่งตอนนี้ติดตั้ง ไปแล้วประมาณ 14 สถานี

ซึ่งอนาคตที่ปตท. มีเป้าหมายติดตั้ง ให้ครอบคลุมทั้วประเทศ เพื่อ ตอบสนองความต้องการ หรือ การให้บริการ ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และนอกจากนี้ pttor ยังจำหน่ายผลิตภัฌฑ์ ปิโตเลียม เชิงพานิชย์ ให้กับกลุมธุรกิจ อากาศยาน อุตสาหกรรม เรือขนส่งสินค้า ไปจนถึง PTT LPG

ผลิตภัณฑ์ น้ำมันหล่อลื่น PTT Lubricants และศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto ซึ่งผลกำไรของการทำธุรกิจน้ำมันนั้นตกเป็นเงินประมาณ 291,764.65 ล้านบาทเลยทีเดียว ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก ของ PTTOR

ธุรกิจค้าปลีกสินค้า หรือ Non-oil

PTT OR หุ้น แรงรับปี 2564 ธุรกิจค้าปลีก ของ PTT OR Goo Invest

ธุรกิจค้าปลีก หรือที่เรียกกันว่าธุรกิจ Non-Oil Business ที่ OR นำเข้ามาบริการกับผู้บริโภคที่ปั๊ม PTT Station อย่างเช่นร้าน Cafe Amazon ซึ่งในปี 2562 มียอดขายอยู่ถึง 264 ล้านแก้ว ขณะที่ปี 2563 (ข้อมูลถึง 30 ก.ย.63)

ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ที่เราเห็นหลักๆในทุกๆสถานี ได้แก่ Cafe Amazon / Texas Chiken / Hua Seng Hong Dimsum และ Pearly Tea ไปจนถึงร้านสะดวกซื้อ Jiffy ซึ่งเป็นธุรกิจลองลงมา ซึ่งทำกำไรให้กับ PTTOR ไม่น้อยเลยทีเดียวโดยมูลค้า ของธุรกิจนี้สูงถึง 11,690.81 ล้านบาท

ถือได้ว่า PTTOR เห็นช่องทางและโอกาศที่ดี ที่ทำธุรกิจควบคู่กันไป จึงทำให้สถานีบริการของ ปตท. นั้น ครบครันทั้งเครื่องดื่ม อาหาร ร้านสะดวกซื้อ เพราะนอกจากคนที่แวะเข้ามาใช้บริการเติมน้ำมันแล้วนั้น ก็มีอีกหลายคนที่แวะเข้ามาพัก ทานข้าว หรือซื้อเครื่องดื่ม เช่นกาแฟ เป็นต้น มีจำนวนสาขา 3,168 สาขา ทั้งนี้ยอดเฉลี่ยของการเข้ามาใช้บริการร้านคาเฟ่อเมซอนใน PTT Station ราวๆ 3 ล้านคนต่อวัน

หลังจากเริ่มปรับรูปแบบการขยาย ร้านคาเฟ่อเมซอน เป็นแบบแฟรนไชส์ ทำให้ภาพการเติบโตสูงขึ้น ทั้งในและนอกสถานีบริการเติบโตขึ้น เป็นเท่าตัว อีกทั้งยังขยายการทำธุรกิจไปแล้ว 10 ประเทศ

ธุรกิจในต่างประเทศ

PTT OR หุ้น แรงรับปี 2564 ธุรกิจต่างประเทศ ของ PTT OR Goo Invest

และเป็นการต่อยอดของ PTTOR ทีประสบความสำเร็จในธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน PTT Station Cafe Amazon / Jiffy / และ FIT Auto ในประเทศไทย ซึ่ง PTTOR มีศักยภาพ พอที่จะพัฒนาหรือขยายธุรกิจ ออกๆไปให้กว้างกว่าเดิม โดยการขยายสถานีบริการน้ำมันในต่างประเทศ พร้อมกับธุรกิจค้าปลีก ที่เราพูดถึงเมื่อข้างต้น โดยเริ่มต้นจาก ประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆเราเช่น ประเทศ ลาว / กัมพูชา / มาเลเชีย / เมียนม่า / ฟิลิปปินส์ / ญี่ปุ่น / สิงคโปร์ / โอมาน และประเทศจีน ซึ่งมีรายได้จากตัวเลขอ้างอิง ประมาณ 15,845.98 ล้านบาท ซึ่งถ้ามองดูแล้ว ก็ถือได้ว่า PTTOR ได้ก้าวเข้าสู่ประตูแห่งความสำเร็จไปอีกขั้นแล้วนั้นเอง

ธุรกิจใหม่ในอนาคตของ PTT OR

PTT OR หุ้น แรงรับปี 2564 ธุรกิจ พลังงานทดแทน ของ PTT OR Goo Invest

ตอนนี้หลายคนสงสัยว่า อนาคต ของ or นั้น จะเอาเงินลงทุนไปทำอะไรบ้าง ซึ่งอย่างที่ทราบกันดี ที่ or นั้นจะเปิดสาขาปั้มน้ำมันเพิ่ม ให้ครอบคุม รวมไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน และวันนี้มีข่าวคราว ว่านอกจาก จะเพิ่มสาขาแล้วนั้น or ยังให้ความสนใจ กับวงการยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งค้าปลีกและ จุดเติมพลังงานไฟฟ้า และ แบตเตอร์รี่ อย่างครบวงจร ต้องบอกเลยว่า

อนาคตอันใกล้นี้ความเปลี่ยนแปลงด่านยานยนต์ค่อนข้างท้าทาย และแน่นอน ว่า or ไม่มองข้ามโอกาสนี้แน่นอน และตอนนี้ orนั้นก็เริ่มทำที่ชาตประจุไฟฟ้า ไปแล้วถึง 25ปั้ม และตอนนี้ยังมีบริษัทอัตประจุไฟฟ้า ภายนอกติดต่อมาขอร่วมธุรกิจ อย่าง DELTA ที่มีระบบ fast chage ที่สามารถชาตเต็มภายในไม่กี่นาที และรองรับทุกหัว ให้ลองรับในทุกๆเส้นทางหรือ ตามปั้มของ ปตท. หรือแม้แต่ กฟภ ที่PEA ก็ได้มีการจับมือกับทางปั้ม บางจากไปแล้ว ถึง20 จุด แต่อย่างไรก็ตาม

ก็ยังสรุปไม่ได้ว่า การคิดคำนวนค่าชาต ไฟจะอยู่ในราคาเท่าไหร่ เพราะต้องคำนวนทั้งค่าเช่า ส่วนแบ่งผลกำไรต่างๆ อีกมากมาย และก็ยังไม่แน่นอนที่ว่าสรุปแล้ว or จะจำมือกับใคร ใครจะได้เป็นคนร่วมลงทุน หรือ orจะเป็นคนลงทุนเองทั้งหมด 

โอกาสที่สอง นั้นก็คือในเรื่องของแบตเตอร์รี่ ซึ่งเป็นหัวใจหลักหรือหัวใจสำคัญของรถ ที่ใช้เครื่องยนต์ไฟฟ้า  แบตเตอร์รี่ตัวไหน ใช้ทนทานกว่า ใช้ได้นานกว่า หรือทำให้รถวิ่งๆได้ไกลกว่า ทำให้ or ได้จับมือกับ GPSC และหลายคนต้องสงสัยกับ GPSC ว่าเค้าทำธุรกิจอะไร GPSCนั้นเป็นบริษัทที่พัฒนาพลังงานทดแทน

หรือพลังงานไฟฟ้า แบตเตอร์รี่ ต่างๆ รวมกระทั้งเครื่องกักเก็บพลังงานที่ได้จากธรรมชาติ เช่นพลังงานแสงอาทิตย์ และ or เล็งเห็นว่า คนเริ่มหันมาใส่ใจโลกมากขึ้น หันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้นจึงเป็นเรื่องดีที่ or และ GPSC ร่วมกันพัฒนา เพื่อเป็นผู้นำในการให้บริการพลังลังงานทั้งพลังงานจากปิโตเลียม จนไปถึงพลังงานสะอาดอย่างพลังงานไฟฟ้า

และลดต้นทุนในการชื่อจากต่างประเทศ จึงร่วมมือกันพัฒนา แบตเตอร์รี่ต้นแบบ semisolid ที่ให้กำลังไฟเยอะ แต่ต้นทุนแพง ซึ่งor ได้ร่วมลงทุนกับ GPSCในการพัฒนาแบตตัวนี้ถึง 20ล้านเหรียญ ตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 600 ล้านบาท ตั้งแต่ช่วงปี 2562 ตั้งแต่เดือนสิงหา 

ซึ่งเป็นเวลา เกือบสองปีที่ร่วมพัฒนา และตอนนี้ก็บอกได้เลยว่า ได้ทำต้นแบบของแบตเตอร์รี่ส่วนนี้สำเร็จแล้ว ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ที่ว่าจะเริ่มผลิตเมื่อไหร่เท่านั้นเอง ซึ่งที่คาดการ น่าจะนำมาผลิตที่ประเทศไทย โดย ราคาอยู่ที่ 100us/kWh หรือ ตีเป็นเงินไทยประมาณ 3000บาท/kWh ซึ่งก็เท่ากับที่ TESLA ทำเอาไว้

ซึ่งข่าวตอนนี้บอกว่าโรงงานผลิตเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขาดแต่เครื่องจักและการเซ็ตอัพ ซึ่งก็ติดปัญหาเรื่องของโควิด จึงทำให้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายหรือเดินทางมาเซ็ทอัพได้แต่อย่างไรนั้น ถ้าผลิตได้นั้น แน่นอนครับว่านอกจากที่ขายภายในประเทศแล้วนั้น ยังสามารถส่งออกได้ เนื่องจาก ทุกคนต่างต้องการเเท็คโนโลยีที่ดี และราคาที่สามารถสู้กับ เจ้าอื่นได้นั้น ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของ or เลยทีเดียว  

 

OR กับ นวัตกรรมใหม่ อย่างรถพลังงานไฟฟ้า

อีกหนึ่งธุรกิจของ or นั้นเป็นก้าวที่ใหญ่ และท้าทายเลยทีเดียวคือการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งทาง orนั้นได้เดินทางไปคุยกับบริษัท รถยนต์ไฟฟ้า สัญชาติจีน ที่เป็นบริษัท น้องใหม่ที่มีกระแสมาแรงมากๆ นั้นก็คือ ค่าย WM motor หรือ WELTMEISTER ซึ่งไปเซ็นสัญญาต่างๆเรียบร้อยแล้ว ซึ่งบอกเลยว่า ค่ายWM motor เป็นนวัตกรรมที่ล้ำสมัยในหลายๆด่านไม่น้อยหน้าTESLA เลยทีเดียว ซึ่งมียอดขายเป็นอันดับต้นๆของจีน แพ้ ค่าย NIO,Li Auto,Xpeng แค่นิดเดียว เท่านั้นเอง 

 

นี้ถือเป็นโอกาสที่ดีของ or ที่จะพัฒนาธุรกิจ และสร้างผลกำไรในอนาคต และนี้เองคือเหตุผลที่ทำให้การเปิดขายหุ้น ของ PTT.OR เป็นกระแสที่มาแรง และมีคนสนใจเป็นจำนวนมาก แล้วถ้ามีข้อมูลอัพเดทหรือข่าวคราวเพิ่มเติมเราจะมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง

 

Cr : https://investor.pttor.com/th

 
Facebook
Twitter

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ

Categories
Technical Analysis การลงทุน

Stochastic Oscillator

Stochastic Oscillator

Stochastic Oscillator เป็น indicator ที่เหมาะกับการวิเคราะห์ในตลาด ที่เป็น Sideways รวมทั้งการลงทุน หรือเก็งกำไรในระยะสั้น สามารถจับเคลื่อนไหว หรือการแกว่งตาม momentum ได้เป็นอย่างดี แต่ไม่เหมาะในช่วงสภาวะตลาดที่มีแนวโน้ม

Stochastic ถูกคิดค้นและพัฒนามาโดย Dr. George C. Lane. เมื่อปี 1950 และเป็นหนึ่งใน Indicator ที่ได้รับนิยมมากที่สุดตัวหนึ่งสามารถใช้งานได้ดีทั้งในตลาด Forex หุ้น รวมถึงสินค้าอื่นๆ อย่างเช่น ทองคำ น้ำมัน โดยนิยมนำไปใช้ในการหาจุดกลับตัวของและยังสามารถบอกภาวะการซื้อหรือขายที่มากไป Overbought  Oversold

ส่วนประกอบหลักในการใช้งาน

Stochastic Oscillator Goo Invest

Stochastic เป็น อินดิเคเตอร์ ที่เป็น ดัชนี หรือ Index ที่เป็นการชี้วัดการเคลื่อนที่ของตลาดโดยจะมีค่าต่ำสุดคือ 0 และสูงสุด 100 และจะมีเส้น Stochastic ที่เรียกกันว่าเส้น %K และมีเส้นค่าเฉลี่ยอีเส้นเป็นเส้น Signal หรือเส้น %D โดยเส้น %K หรือเส้น Stochastic จะมีสูตรดังนี้

%K = 100*(ราคาปิดวันนี้-ราคาต่ำสุด) / (ราคาสูงสุด-ราคาต่ำสุด)

การใช้งาน Stochastic Oscillator

1. Overbought Oversold

Stochastic Oscillator Overbought Oversold goo invest สัญญาณ Overbought Oversold

Overbought ของตัว Stochastic ก็จะมีลักษณะการ Overbought คล้ายกับการใช้งาน RSI Relative Strength Index คือดู “ปริมาณการซื้อที่มากเกินไป” ของพฤติกรรมราคาช่วงเวลานั้นแต่ต่างกันที่ระดับค่า Overbought ของ RSI จะอยู่ที่ 70 – 100 แต่ STO จะอยู่ที่ระดับ 80 – 100 ซึ่งหมายความว่ามีปริมาณการซื้อ มากเกินไป มีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวลงมาได้สูง 

 

Oversold ของตัว Stochastic ก็จะมีลักษณะการ Oversold คล้ายกับการใช้งาน RSI Relative Strength Index คือดู “ปริมาณการขายที่มากเกินไป” ของพฤติกรรมราคาช่วงเวลานั้นแต่ต่างกันที่ระดับค่า Oversold ของ RSI จะอยู่ที่ 0 – 30 แต่ STO จะอยู่ที่ระดับ 0 – 20 ซึ่งหมายความว่ามีปริมาณการขาย มากเกินไป มีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวขึ้นมาได้สูง

 

2. การ Cross กันของเส้น %K และ %D

Stochastic Oscillator Signal Goo Invest

สัญญาณ Overbought และ Oversold อย่างเดียวอาจจะยังไม่ใช่สัญญาณเข้า ซื้อ ขาย ที่ดีนักอย่างที่ได้เกรินไปตั้งแต่ช่วงแรกว่า Stochastic เป็น Indicator ที่สามารถทำงานได้ดี ในช่วงตลาด  Sideway เพื่อป้องกันไม่ให้เราเข้าซื้อหรือขาย ที่เร็วเกินไปหลังจากเกิดสัญญาณ Overbought Oversold แล้วจึงให้เราเตรียมตัวการพักตัวเท่านั้น และให้การ Cross เป็นสัญญาณเข้าจะดีกว่า

เส้น %D ตัดเส้น %K ลงหลังจากที่ราคาเข้าไปอยู่ใน ZONE Overbought ให้ถือเป็นสัญญาณการขาย

เส้น %D ตัดเส้น %K ขึ้นหลังจากที่ราคาเข้าไปอยู่ใน ZONE Oversold ให้ถือเป็นสัญญาณการซื้อ

3. Stochastic Oscillator Divergence

RSI indicator Relative Strength Index Divergence type Goo Invest

สัญญาณ Divergence คือความขัดแย้งกัน ระหว่างราคากับการเคลื่อนไหวของ Sto โดยปรกติแล้วราคากับดัชนีจะต้องแกว่งไปในทิศทางเดียวกันแต่จะมีความปิดปรกติในช่วงบางเวลาที่ไม่สอดคล้องกันระหว่างราคาและ Sto ซึ่งจะเรียกความขัดแย้งนี้ว่า Divergence

 

ความขัดแย้ง ในสภาวะขาขึ้นว่า Bearish Divergence

ความขัดแย้ง ในสภาวะขาลงว่า Bullish Divergence

Stochastic Oscillator Bearish Divergence goo invest
Stochastic Oscillator Bullish Divergence goo invest
Share Facebook
Share Twitter

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ