ทฤษฎี Dow Theory ต้นกำเนิด กราฟเทคนิค ที่มือใหม่ ห้ามพลาด
ทฤษฎี Dow Theory ถือกำเนิดขึ้นโดย Charles Henry Dow ที่นับได้ว่าเป็น ศาสดา แห่งการวิเคราะห์ กราฟเทคนิค ต้องย้อนไปถึงปี 1896 เขาคิดค้นสิ่งที่เรียกว่า “ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์” ซึ่งเขายังเป็น บรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ The Wall Street ที่จะต้อเขียน บทวิเคราะห์ รวมถึงต้องติดตามราคา หุ้น ทองคำ ต่างๆ แต่ในยุคนั้นยังไม่มีกราฟให้เทรดในทุกวันนี้ เขาจึงติดตามราคา ด้วยการสร้างการบันทึก กระทั่งนำมาสร้างเป็น ดัชนี ที่เราใช้กันในทุกวันนี้ จึงต้องยอมรับให้เขาเป็น ศาสดาแห่ง กราฟ รวมถึงการวิเคราะห์ทางเทคนิค เพราะพื้นฐานการวิเคราะห์หลายๆอย่างนั้น ถูกสร้างขึ้นมาจาก พื้นฐานของ ทฤษฎี นี้นั่นเอง
ทฤษฎี Dow Theory แบ่งออกเป็น 6 หลักการสำคัญ คือ
1. ตลาดมีการเคลื่อนไหวหลักๆ อยู่ 3 รูปแบบ (The market has three movements) คือ
- แนวโนมโหญ่ (The main movement or Primary trend) = 1-3 ปี หรือมากกว่า
- แนวโน้มกลาง(The medium swing or Intermediate trend) = 3 สัปดาห์ – 3 เดือน หรือมากกว่า
- แนวโน่้มระยะสั้นๆ (The short swing or Minor trend) = รายวัน – เดือน หรือมากกว่า
2. ตลาดหุ้นมี Trend
แบ่งเป็น 3 ช่วงใหญ่ๆ (Market trends have three phases) คือ ช่วงสะสมหุ้น (The accumulation phase) ช่วงมหาชนมีส่วนร่วม (The public participation phase) ช่วงแจกจ่ายหรือปล่อยของ (The distribution phase)
3. ราคาสะท้อนทุกอย่างในตลาดอยู่แล้ว (The prices reflect the market already)
4. ทุกอย่างต้องมีความสอดคล้องกัน (Market Indexes Must Confirm Each Other)
5. ถ้าตลาดจะมีเทรนด์ ต้องมีปริมาณยืนยัน (Volume Must Confirm The Trend)
6. ราคาจะขึ้นจนกว่ามันจะไม่ขึ้น และจะลงจนกว่ามันจะลง (Trends exist until definitive signals prove that they have ended)
แนวโน้มตลาดแบ่งเป็น 3 แนวโน้มหลัก
แนวโน้มขาขึ้น ตามหลักการของ ทฤษฎี Dow Theory
แนวโน้มขาขึ้น ตาม ทฤษฏี นั้นราคาจะต้องทำ จุดสูงสุดใหม่ Higher high และ จุดต่ำสุดใหม่ Higher Low สูงขึ้นไปเรื่อยๆ และจุดต่ำสุดใหม่ Higher Low จะต้องไม่ลงมาทำจุดต่ำสุดใหม่ ต่ำกว่า จุดสูงสุดใหม่ก่อนหน้า Higher high จึงจะถือเป็นแนวโน้มที่แข็งแรง
แนวโน้มขาลง ตามหลักการของ ทฤษฎี Dow Theory
แนวโน้มขาลง ตาม ทฤษฏี นั้นราคาจะต้องทำ จุดต่ำสุดใหม่ Lower Low และ จุดสุดสุดใหม่ Lower High ต่ำลงไปเรื่อยๆ และจุดสูงสุดใหม่ Lower High จะต้องไม่ขึ้นมาทำจุดสูงสุดใหม่ สูงกว่า จุดต่ำสุดใหม่ก่อนหน้า Lower Low จึงจะถือเป็นแนวโน้มที่แข็งแรง
แนวโน้ม Sideway ตามหลักการของ ทฤษฎี Dow Theory
ช่วง Sideway หรือช่วงที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจน high low ไม่ทำจุดสูงสุดใหม่ หรือจุดต่ำสุดใหม่ ราคามักจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบราคา โดย จุดสูงสุด High หรือ จุดต่ำสุด Low ทำอยู่ในระดับราคาเดิม
แนวโน้ม Sideway Up ตาม ทฤษฏี นั้นราคาจะต้องทำ จุดสูงสุดใหม่ Higher high และ จุดต่ำสุดใหม่ Higher Low สูงขึ้นไปเรื่อยๆ และจุดต่ำสุดใหม่ Higher Low จะต้องลงมาทำจุดต่ำสุดใหม่ ต่ำกว่า จุดสูงสุดใหม่ก่อนหน้า Higher high จึงจะถือเป็นแนวโน้ม Sideway Up
แนวโน้ม Sideway Down ตาม ทฤษฏี นั้นราคาจะต้องทำ จุดต่ำสุดใหม่ Lower Low และ จุดสุดสุดใหม่ Lower High ต่ำลงไปเรื่อยๆ และจุดสูงสุดใหม่ Lower High จะต้องขึ้นมาทำจุดสูงสุดใหม่ สูงกว่า จุดต่ำสุดใหม่ก่อนหน้า Lower Low จึงจะถือเป็นแนวโน้ม Sideway Down
ทฤษฎี Dow Theory วัฏจักรตลาด Market Cycle
เรื่อง วัฏจักรตลาด Market Cycle ตามหลักการของ ทฤษฎี Dow Theory ได้บอกไว้ว่า ตลาดจะมีรอบหรือ cycle ของตลาดทุกๆ 10 – 12 ปี ซึ่งรอบหนึ่งจะมีช่วงที่ ราคาขึ้นไปถึงสูงสุด และ ลงมาที่จุดต่ำสุดจะนับเป็น 1 รอบซึ่งหากใครได้ศึกษาประวัติของกราฟ ก็จะพบว่ามีหลักฐานอ้างอิงถึงหลักการดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น ราคาของ Dow Jones หรือ SET INDEX เองก็ตามโดยมีประวัติราคาเป็นตัวอ้างอิง ซึ่งรอบตลาดนี้ เกิดขึ้นกับทุกๆตลาด หากเกิดขึ้นกับตลาดที่มีพื้นฐานเช่น หุ้น หรือ ดัชนี Index เราจะพบว่า ราคาจุดสูงสุด และราคาจุดต่ำสุด มักจะมีการปรับตัวยกสูงขึ้นเนื่องจาก มูลค่าพื้นฐานของหุ้นนั้นเติบโตขึ้นด้วยเช่นกัน
และตาม ทฤษฏี ยังได้พูดถึง คลื่นย่อยหรือ Wave ย่อย ซึ่งมันจะมี รอบ วัฏจักร ย่อยของมันเช่นกัน โดย คลื่นหนึ่งคลื่น หรือ หนึ่ง Wave จะมี ระยะเวลา หรือ รอบ ที่ 9-12 เดือน ในแต่ละคลื่น
โดยคลื่นแต่ละคลื่นจะสามารถย่อยลงได้อีกโดยจะแบ่งย่อยลงไปถึง คลื่นเล็กที่อยู่ในระยะ 3 เดือน
ซึ่งหากเข้าใจหลักการนี้ จะสามารถช่วยให้คุณนำไปวางแผนช่วยเทรด ได้เป็นอย่างดีซึ่งหากคุณรู้ว่าคุณอยู่ในช่วงไหนของตลาด จะช่วยให้คุณปรับกลยุทธ์ หรือวางแผนกลยุทธ์ได้ดียิ่งขึ้น
ตัวอย่าง วัฏจักรตลาด Market Cycle จาก Dow Jones
ตัวอย่าง วัฏจักรตลาด Market Cycle จาก SET Index
ในแต่ละช่วงเวลา จะมีปัจจัยที่เป็นพื้นฐาน ในการขับเคลื่อนราคา ของแต่ละช่วงอยู่ ตามทฤษฏี
ช่วงเริ่มต้นแนวโน้มขาขึ้น เริ่มจากช่วงที่ราคาอยู่ใกล้จุดต่ำสุดหรือช่วงเริ่มต้นแนวโน้ม ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ไม่ได้รับความสนใจ จากคนทั่วไป แต่หากมองลงไปในพื้นฐาน ของหุ้นนั้นๆ จะพบว่า ผลการดำเนินการของหุ้น จะเริ่มทรงตัว หรือปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย จากที่ตลาดผ่านช่วงการเทขาย หรือช่วงขาดทุนมาต่อเนื่อง และมีการเทขาย มาจากมวลชน แต่นักลงทุน กลับเริ่มเข้ามาในตลาด และซื้อสะสมใน ช่วงเริ่มต้นแนวโน้ม
ช่วงมวลชน หรือ ระยะกลางของแนวโน้มขาขึ้น ในช่วงนี้ มวลชน สื่อ หรือ คนทั่วไปจะเริ่มเข้ามาจับตามอง และทยอยเข้ากันเป็นจำนวนมาก มักจะเป็นช่วงที่ ราคาจะวิ่งแรงและไกลที่สุด เพราะ สื่อทุกสื่อ จะจับตามองและมีการพูดถึงกันในวงกว้าง รวมถึง ผลประกอบการพื้นฐานก็จะดีขึ้น ตามลำดับซึ่งเป็นไปตามกลไกล ของระบบเศรษฐกิจ คนที่เข้ามาซื้อในช่วงนี้ มักจะเป็น นักเกร็งกำไร หรือ คนที่เทรดในระยะกลาง รวมถึง Trend Following
ช่วงท้ายตลาดของขาขึ้น หรือเรียกว่าเป็นช่วงเริ่มต้นของขาลง จะเป็นช่วงที่ตลาดกำลังคึกคักกันอย่างมาก และเป็นช่วงที่ได้รับความนิยมจากคนทั่วไปเป็นอย่างสูง แต่พื้นฐาน หุ้นกลับ ไม่เติบโตหรือ ผลประกอบการ แย่ลง และจะเป็นช่วงที่นักลงทุนระยะยาวเริ่มจะปล่อยของ แต่มักจะเป็นช่วงที่ แมงเม่า เข้ามา หรือจะบอกว่าเป็น ยอดดอยก็ไม่ผิด
ช่วงระยะกลางของแนวโน้มขาลง เช่นเดียว กับระยะกลางของแนวโน้มขาขึ้น แต่เป็นไปในทิศทางที่กลับกัน กับแนวโน้มขาขึ้นจะเป็นข่าวดีเข้ามารองรับการขึ้นเป็นจำนวนมาก สื่อต่างๆจะพูดถึงแต่เรื่องดีๆของหุ้นตัวนี้ แต่ในทางขาลงจะเป็นข่าวที่เป็นข่าวเชิงลบทั้งสิ้น ส่งผลทำให้ มวลชนแห่ขายกันจำนวนมาก
ช่วงท้ายตลาดของขาลง จะเป็นช่วงที่ แทบจะไม่ได้รับรับความสนใจเลย และมี แมงเม่า ติดดอยกันเป็นจำนวนมาก และส่วนมากก็จำต้อง ตัดขาดทุนกันไป แต่กลับกันในช่วงนี้พื้นฐานของหุ้นเริ่มชลอการขาดทุน ตัวเลขกลับเริ่มพื้นตัว และนักลงทุนระยะยาว หรือ Value Investor VI เริ่มจับตามอง หรือ เริ่มสะสม ในช่วงนี้